เทศน์พระ

ลับคม

๑๘ เม.ย. ๒๕๕๘

 

ลับคม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอ้า! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะมาเพื่อฟื้นสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญาเห็นไหม เราใช้ชีวิตของเรา เรามีสติปัญญา เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ เวลาเหยียด คู้ ก้าวเดิน นักปฏิบัติมันต้องมีสติ ถ้ามีสติแล้วการผิดพลาดมันก็จะไม่มี ถ้ามันขาดสติเห็นไหม คนเดินยังลื่นยังล้มเลย อยู่บ้านตาดนะ เวลาคนมาลื่นล้มกลางศาลา ท่านบอกว่า “ไอ้เซ่อ!” ที่นี่เขาไม่ต้องการคนเซ่อ เพราะอะไร เพราะขัดศาลาจนมัน ใครมาเดินลื่นล้มเลย แต่ต่อท้ายมันต่อมาๆ เห็นไหม สภาวะแบบนั้น เพราะคนมา เพราะมีรายแรก รายต่อๆ ไปเขาจะระวังตัวๆ เห็นไหม

เขาขัดของเขาไว้เพื่อความสะอาด เขาขัดของเขาไว้เพื่อเป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล เวลาเข้าไปเดินเห็นไหม พอเดินล้มขึ้นมาเนี่ยโอดโอยนะ “นี่ล้มอ่ะ... ล้มอ่ะ...” ท่านกระทืบซ้ำเลย ที่นี่ไม่ต้องการคนเซ่อ ไอ้พวกเซ่อ พวกงี่เง่า เขาไม่ต้องการ

เราต้องมีสติของเรา ถ้าเรามีสติของเราเห็นไหม นักปฏิบัติเราต้องมีสติสัมปชัญญะ การเดิน การเหยียด การคู้ เราต้องระมัดระวังของเรา เวลาเราลื่นล้มของเรา เราผิดพลาดของเรา เราจะไปโทษว่าสถานที่นั้นขัดไว้จนมันเลย ขัดไว้จนลื่นเลย ไม่เห็นใจคนอื่นเลย มาแล้วมันลื่นล้มเห็นไหม

น่ะ! มันผิดของใครนั่น มันผิดของคนที่เขาทำความสะอาดไหม มันผิดคนเซ่อต่างหากล่ะ ไอ้คนเซ่อเวลาก้าวเดินไปยังขาดสติ นักปฏิบัติต้องมีสติ เรามีสติปัญญาของเราเห็นไหม แต่ไอ้เรื่องความผิดพลาดเนี่ยมันเรื่องธรรมดา ธรรมดาเพราะอะไร เพราะเราไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าเราเป็นพระอรหันต์ ขนาดพระอรหันต์เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านจะล้มเนี่ย “เอ๊ะ! ทำไมห้องน้ำมันหนีเราไป” พอหนีเราไปเนี่ย ท่านว่า “อ้อ! แสดงว่าเราล้ม” เราล้ม ท่านรีบเอามือยันไว้ก่อนเลย เพื่อไม่ให้ศีรษะฟาดพื้น

คนเขามีสติ เขาจะล้มเขาอะไร เขารู้ของเขา แต่เพราะร่างกายมันชราคร่ำคร่า เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมามันช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้ามันช่วยตัวเองแต่สติสัมปชัญญะเขาพร้อมนะ ถ้าเขาพร้อมเพราะอะไร เพราะเขาฝึกฝนมาๆ

เราต้องฝึกฝนของเรา ฟังธรรมๆ ก็เพื่อเหตุนี้ไง เวลาเราฟังธรรมมาเพื่อจิตของเราใช่ไหม เพื่อคุณสมบัติของเรา เพื่อคุณงามความดีของเรา ถ้าเพื่อคุณงามความดีของเรา เราต้องฝึกของเราเห็นไหม

สติในตำรา ชื่อสติเห็นไหม ดูสติ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในตำรานั่น นั่นเราศึกษามาๆ มันเรื่องของทางวิชาการ มันทฤษฎีอยู่ข้างนอกเห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์เป็นร่องเป็นรอยไว้ให้เราศึกษา ศึกษาแล้วต้องฝึกหัดให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหม สติมันเป็นตัวสติจริงๆ อยู่ที่ความระลึกรู้ อยู่ท่ามกลางหัวอกเรา ถ้ามีสมาธิ สมาธิก็จิตมันตั้งมั่นของมัน ถ้ามีปัญญา ปัญญามันการก้าว การเดิน การเหยียด การคู้ มันมีสติสัมปชัญญะของมันเห็นไหม แต่ถ้ามันจะมีอุบัติเหตุ มันจะมีสิ่งใด นั่นก็สุดวิสัย ถ้าสุดวิสัย ขนาดมันสุดวิสัยแล้วเขาก็ยังมีสติปัญญารักษาตัวของเขา ไม่ใช่ว่าพอเรามีสิ่งใดขึ้นมาแล้วเรามาโอดมาโอย มาคร่ำมาครวญ มาคร่ำครวญเอาอะไร

ผลของวัฏฏะ! ทุกคนเกิดมามีสิทธิเสรีภาพเหมือนกันเท่ากัน มีหนึ่งปากหนึ่งท้องเหมือนกัน มีจิตหนึ่งดวงเหมือนกัน แต่ทำไมคนคนหนึ่งเขามีสติสัมปชัญญะของเขา ทำไมเขาฝึกฝนของเขา เขาทำตัวของเขา เป็นผู้ที่ประหยัดมัธยัสถ์ เป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะอย่างนั้นได้

เราก็เหมือนกัน เวลาเราบอกเรามีบุคคลสำคัญ เราเป็นคนมีความสำคัญ ทิฏฐิมานะจรดขอบฟ้า เวลามีความคิดก็อยากจะมานั่งอยู่บนหัวคน คิดอะไรนี่ว่าตัวเองเนี่ยสำคัญยอดเยี่ยมทั้งนั้น มันมีความสำคัญที่ไหน สำคัญคือกิเลสทั้งนั้น ความเป็นจริงสำคัญ มันจะสำคัญในตัวเราสิ นี่ถ้าฟังธรรมๆ เพราะเตือนสติของเรา

อย่าให้วันเวลามันล่วงไปๆ วันเวลาล่วงไปๆ นะ บัดนี้ทำอะไรกันอยู่ ปล่อยให้วันเวลามันล่วงไปๆ ลมหายใจเข้าออกไม่มีสติสัมปชัญญะเก็บมาเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรานะ เราอยู่กับปัจจุบันนี้สุคโต คนที่สุคโตในปัจจุบันนี้แล้วมันไปไหน มันก็ต้องไปสุคโตทั้งนั้น เราทำความสุขความสงบความระงับในหัวใจของเรา ถ้าเราไม่มีสติปัญญายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ก็ให้มันมีความสงบระงับในใจของเราขึ้นมา ความเป็นอยู่ของโลกเขา เขาหามา หาอยู่หากินขนาดไหน ชราคร่ำคร่า เวลาชราคร่ำคร่าไป สิ่งใดมันจะยับยั้งไว้ ดึงไว้ ให้มันเป็นอย่างนั้นตลอดไปได้ไหม เขาเกิดมาเพื่อมีโอกาสได้แสวงหาได้ค้นคว้า

เราเป็นคนที่มีโอกาสมาก พอมีโอกาสมากเห็นไหม เพราะเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงมาบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระ ๒๔ ชั่วโมง ทางของสมณะเป็นทางที่กว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมง เราสามารถเข้าทางจงกรม เราสามารถภาวนา สามารถ...

โอกาสอย่างนี้เขาเรียกร้องเขาแสวงหากัน แล้วเรามาบวชเป็นพระ โอกาสอยู่ในมือของเรา แล้วโอกาสอยู่ในมือของเราแล้วจิตใจเราไปไหนล่ะ จิตใจมันส่งออกไปทำไมล่ะ ดูสิ เวลาเขาจะมาบวชเห็นไหม ดูสิมาเป็นปะขาว เขาต้องมาฝึกมาหัดของเขา พอฝึกหัดเสร็จแล้วเขาบวชมาเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วมันต้องมีสติปัญญา

คนที่มีสติปัญญาของเขา เขาลับคมของเขาตลอดไป ถ้าไม่ลับคมของเขาตลอดไปเห็นไหม คนที่หยุด หยุดความคิด เวลาความคิดของเขาหยุดเฉยของเขา ทุกอย่างกิเลสมันก้าวหน้าไปตลอด มันต้องลับคมๆ ลับตลอดเวลา สติปัญญาเราลับของเราเห็นไหม เวลาเราจะมาบวช เราต้องมาเป็นตาปะขาวก่อน มาฝึกหัดของเรา เพื่อเตรียมพร้อมขึ้นไปว่าเราจะเผชิญกับความจริง ได้บวชได้เรียนแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ ได้บวชได้เรียนแล้วเราจะขวนขวายเอาความจริงของเรา เราจะเอาอริยทรัพย์ อัตตัตถสมบัติความจริงในใจของเรา เราต้องรื้อฟื้นขึ้นมาให้ได้

ดูสิ เขาจะทำไร่ไถนาขึ้นไป เขาทำที่ดินๆ เห็นไหม เพราะดินนั่นมันมีแร่ธาตุอาหาร เวลาเขาปลูกผักต่างๆ ขึ้นไป หน่อไม้ต่างๆ มันเจริญงอกงามขึ้นมา นี่หัวใจของเรา หัวใจของเราเห็นไหม พุทธะหัวใจของเรา ที่ทางโลกเขาเขาทำหน้าที่การงานของเขา ด้วยความเรื่องว่าเป็นโลกของเขา ความเป็นโลกมันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นวัฏฏะ มันเป็นความจริงของโลก ความจริงของโลกเป็นอย่างนั้น

ดูสิ เวลาใครทำหน้าที่การงานสิ่งใดประสบความสำเร็จ เขาก็ชื่นชมกันเห็นไหม รัฐบุรุษๆ เขาคิดเผื่อคนอื่น เขาคิดเผื่อสังคม เขาทำเพื่อสังคมเพื่อให้มั่นคง สังคมเพื่อมีที่ยึดเหนี่ยว เราเอาตัวรอดให้ได้ก่อน ใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนี้ให้มันมีที่พึ่งอาศัยเสียก่อน ใจดวงนี้ให้มันมีหลักมีเกณฑ์เสียก่อน ใจดวงนี้ แล้วถ้าใจดวงนี้มันมีหลักมีเกณฑ์ มันมีที่พึ่งอาศัยแล้วเห็นไหม ใจดวงนี้มันเป็นที่พึ่งอาศัยของเราได้ เขาจะพึ่งพาอาศัยก็เป็นเรื่องของเขา เขาไม่พึ่งอาศัยนั่นมันก็เรื่องของกรรมของสัตว์

กรรมของสัตว์! มันไม่เห็นมีสิ่งใดมีคุณค่าหรอก มันว่าตัวมันมีคุณค่าที่สุด กรรมของสัตว์ๆ มันมีคุณค่าที่สุด แล้วมันเอาตัวเองให้รอดไม่ได้ มันจะรู้สิ่งใดมันรู้ด้วยอวิชชา รู้โดยความไม่รู้ ความไม่รู้เห็นไหม ความไม่รู้ถ้าคนตายแล้วมันก็เป็นซากศพ นั่นมันไม่รู้อะไรเลย เพราะมันตายแล้วจิตวิญาณมันไม่มี

แต่ถ้าจิตวิญญาณมันมีล่ะ รู้โดยไม่รู้ไง มันอวดรู้ เพราะมันอวดรู้ไง ว่ากิเลสมันลับคมไง มันเป็นคมของกิเลสไง กิเลสมันทำลายตัวมันเอง กิเลสมันทำลายหัวใจดวงนั้น

แต่ถ้าเราจะลับคม ลับคมของเรา คมของปัญญา ถ้ามีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม เรามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันมีคุณค่าไง มันจะเป็นคนด้อยค่าขนาดไหนเห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น เป็นเศษคนๆ เขาว่าหลวงปู่มั่นเป็นเศษคน เพราะอยู่ในป่าในเขา ไม่มีใครสนใจ นี่เศษคนเห็นไหม แต่ทำไมเทวดา อินทร์ พรหมต้องมาฟังเทศน์ล่ะ?

นี่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ยิ่งใหญ่ในธรรมะ ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยสัจธรรม ผู้ยิ่งใหญ่ในสัจธรรมเขายิ่งใหญ่ในหัวใจของเขา ดูสิ สภาวะแวดล้อมเห็นไหม อยู่ในป่าในเขาเหมือนเศษคน คนไม่มีค่า คนไร้ค่า อยู่ในป่าในเขาแต่ทำไมเทวดาอินทร์พรหมเขามีค่าของเขาล่ะ ทำไมเทวดา อินทร์ พรหมเขาไม่ไปหาบุคคลที่ว่าเขาอยู่ในที่รื่นเริง เขาอยู่ในที่คลุกคลี อยู่ในที่ที่ว่าทางโลกเขาสรรเสริญกันล่ะ ทำไมเทวดาเขาไม่สนใจล่ะ ทำไมเทวดาเขาไม่หันหน้าไปมองเลย

เขาทุเรศ! แต่เทวดา อินทร์ พรหม เขาไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขาเห็นไหม ดูสิ เศษคน คนที่ไม่มีค่า มันกลับมีค่า

เราพยายามจะสร้างค่าของเราเห็นไหม โลกธรรม ๘ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ มันเสื่อม มีลาภสักการะ หวังแต่มอง มองแต่สิ่งพึ่งภายนอก ยศถาบรรดาศักดิ์ หน้าที่การงาน มองไปที่นั่น คนเราทุกคนต้องมีอาชีพ ทุกคนต้องมีหน้าที่การงาน มีหน้าที่การงานก็ทำหน้าที่การงานของเราไป คุณงามความดีได้มามันก็เป็นคุณงามความดีของเรา ถ้าไม่ได้มาก็ทำคุณงามความดีของเราต่อไปเห็นไหม ไม่ใช่โมฆบุรุษ

โมฆบุรุษตายเพราะลาภ ยศ สรรเสริญ เขาเอามาล่อ เขาเอามาล่อไปกับเขาหมดเลย แล้วไปกับเขา นี่วิ่งเต้นไปหาเขา ส่งออกไปอยู่กับเขา นี่คมของกิเลสล่ะมันทำลาย ทำลายนักบวช ทำลายผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง

เราสละแล้วใช่ไหม เราก็มีมือมีเท้าเหมือนกัน เราก็สามารถทำงานได้เหมือนกัน ทำไมเราสละมาล่ะ เราสละมาเห็นไหม เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แข้งขานี่เอาไว้บิณฑบาต มันจะไม่มีอยู่มีกินใช่ไหม มันมีอยู่มีกินอยู่ทุกวัน เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งเห็นไหม เลี้ยงปากเลี้ยงท้องๆ แล้วหัวใจล่ะ หัวใจเอาอะไรเลี้ยงมัน

ถ้าเอาสติปัญญา สติปัญญาเห็นไหม ว่ามนุษย์ต่างจากสัตว์ มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมนุษย์มีศีลมีธรรม มนุษย์ต่างจากสัตว์แล้วหัวใจเห็นไหม หัวใจเวลาที่มันสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพชอบมันอยู่กับศีลธรรม อยู่กับศีลธรรม อยู่กับข้อวัตรปฏิบัติมันอบอุ่นเห็นไหม ถึงเวลาแล้วเห็นไหม ฉันน้ำร้อนแล้วทำข้อวัตรปฏิบัติ ทำข้อวัตรปฏิบัติเสร็จแล้วเป็นเรื่องของส่วนรวม แล้วที่อยู่ของเราล่ะ ที่อยู่ของเราเราไปทำของเรา ทำเพื่ออะไร ?

ทำเพื่อเดี๋ยวเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนาแล้วมันจะได้รื่นเริงไง ถ้าไม่ได้ทำพอเข้าทางจงกรมโกหกตัวเอง โน่นก็ยังไม่ได้ทำ นี่ก็ไม่ได้ทำ โน่นก็คนอื่นเขาทำ เราก็แฉลบ เราก็หลบไป ที่ว่าเรานี่ก็ไม่ต้องทำเลย มีคนอื่นทำให้แล้ว

เวลาพูดเห็นไหม เนี่ย! เนี่ยคมของกิเลส มันทำลาย มันทำลาย พอมันทำลายแล้วเข้าไปทางจงกรม จะไปเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ควรระลึกถึงศีลถึงธรรม มันกลับไประลึกถึงสิ่งที่เราผิดพลาด สิ่งที่เราหลบหลีกมา สิ่งที่เราเอารัดเอาเปรียบเขา “ความลับไม่มีในโลกหรอก” เอ็งคิดอะไรมันก็อยู่ในใจเอ็งนั่นล่ะ เอ็งคิดอะไรขึ้นมามันก็อยู่ที่นั่นล่ะ ใครจะไปลบล้างไว้ให้

นี่คมกิเลสมันทำลายเอา แล้วเรามีคมของปัญญาไหม ลับคมๆ คนต้องลับคม ลับคมลับดีขึ้น ถ้าคนลับคมขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ คนที่เขาเป็นผู้นำเห็นไหม เขาคิดเผื่อไว้เลย เขามองไป ๑๐ ปี มีโครงการว่า ๑๐ ปี เห็นไหม เขามีโครงการว่า ๑๐ ปีนี้เราจะมุ่งหน้าไปทางไหน เราจะมุ่งหน้า เราจะพากลุ่มชนของเราไปทางไหน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพูดไว้เลยนะ “ศาสนาพุทธ กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” ถ้าความเจริญอีกหนหนึ่งมันต้องเกี่ยวเนื่องกับวัฏฏะ วัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณจะเวียนว่ายตายเกิดในเทวดา ในอินทร์ ในพรหม ในมนุษย์เห็นไหม มันต้องเวียนว่ายตายเกิดนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ตั้งแต่เป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิตเห็นไหม แล้วลงมาจุติเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พอเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ อนาคตังสญาณมันต้องเกี่ยวเนื่องกับผลของวัฏฏะ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง แล้วศาสนาพุทธ ศาสนาของสมณโคดมจะมีอายุถึง ๕,๐๐๐ ปี”

ท่านพยากรณ์เอาไว้ๆ ท่านมองของท่านยังไง เวลาท่านพยากรณ์สิ่งใดมันเกี่ยวเนื่องกับจิตวิญญาณ กับดวงจิตที่จะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วจิตดวงใด ผู้มีคุณสมบัติอย่างใด จะมาจุติเมื่อไหร่ จะมาทำสิ่งใด แล้วจุติแล้วเขาจะมีคุณสมบัติของเขายังไงเพื่อจะบรรลุธรรมๆ

ถ้าไม่บรรลุธรรมเห็นไหม มันบรรลุกิเลส พอกิเลสมันบรรลุแล้วมันก็ใส่ฟืนใส่ไฟ มันใส่ฟืนใส่ไฟ เอาฟืนเอาไฟนั้นมาเป็นธรรมะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เห็นไหม มนุษย์เกิดขึ้นมาถือดุ้นไฟมาคนละดุ้น คือมันเอากิเลสตัณหาความทะยานอยากมาด้วย เวลาถือดุ้นไฟมาคนละดุ้นนะ ความคิดตัณหาความทะยานอยากมันสุมอยู่ในหัวใจ แล้วก็มาบ่นกันว่าร้อน ร้อน ทุกคนจะบ่นกันเรื่องความทุกข์ หันหน้าเข้าหากันแล้วปรับทุกข์มันไม่มีวันจบสิ้น

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “มีครั้งหนึ่ง มีมหาบุรุษผู้หนึ่งได้สละดุ้นไฟนั้นทิ้งแล้ว” แล้วก็พยายามตะโกนบอก บอกเราบริษัท ๔ บอกว่าให้ทิ้งดุ้นไฟนั้น ให้ทิ้งดุ้นไฟนั้น เราก็ดัดจริต! ไม่มี! ไม่มี! ทิ้งหมดแล้ว ทิ้งหมดแล้ว!

มันจะทิ้งยังไง มันไม่มี มันไม่รู้จะทิ้งอะไร แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม มนุษย์เกิดมาถือดุ้นไฟมาคนละดุ้น มนุษย์เกิดขึ้นมามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมาทุกๆ ดวงใจนั่นน่ะ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาบุรุษเห็นไหม ได้ทิ้งดุ้นไฟนั้นแล้ว เป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา ด้วยสติด้วยปัญญาอันนั้น ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วพยายามสั่งสอน พยายามบอกนะ “ให้ทิ้งดุ้นไฟอันนั้น ให้ทิ้งดุ้นไฟอันนั้น”

“แล้วดุ้นไฟยังไง แล้วดุ้นไฟอะไรล่ะ”

“เอ้า! ดุ้นไฟ ดุ้นไฟก็พลังงานไง ก็ตัวจิตนี่ไง”

“แล้วจะไปทิ้งได้ยังไง”

เอ้า! ทิ้ง! คนตายแล้วเวลาจิตมันออกจากร่างเขาก็ทิ้ง แต่ถ้าเราจะตาย โอ้โห! ต้องเอาความตายมาพร้อมกันด้วยเหรอ ทิ้งพร้อมกับความตายเชียวเหรอ โอ๊ย! มันไม่กล้าหรอก มันทำไม่ได้ มันคิดไปร้อยแปด ไอ้นี่มันคมกิเลส กิเลสมันทำลาย

ลับคมของเรานะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาศึกษามาแล้ว ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ถ้าศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ศึกษามาศึกษามาด้วยทางวิชาการ เห็นไหม สิ่งนั้นประเสริฐไหม ประเสริฐ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราศึกษาเรื่องอะไรล่ะ ?

ฤๅษีชีไพรเห็นไหม ดูสิ เวลาเขาค้นคว้าเขาขวนขวายของเขา เขาก็ว่าเขาเป็นศาสดา เขาว่าเป็นพระอรหันต์ คิดดูสิ เวลามีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธเทวดา อินทร์ พรหม ปฏิเสธสิ่งเคารพนับถือต่างๆ ปฏิเสธๆๆ ปฏิเสธทั้งนั้นเลย แล้วเวลาบรรลุธรรมขึ้นมาเห็นไหม บรรลุธรรมขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจสัจจะความจริง “ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล”

ศาสนาไม่มีการกระทำขึ้นมาให้เป็นเหตุเป็นผลขึ้นมา มันจะเอาเหตุผลมาจากไหน เวลาไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ มันไม่มีมรรคไม่มีเหตุไม่มีผลขึ้นมา เขาก็อนุโลมกัน เขาก็คิด จินตนาการของเขาไป แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์โลกๆ สัตตะผู้ข้อง ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์เพื่อความสงบความระงับ แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้

แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา มันมีบุญกุศลมาก บุญกุศลเพราะว่าเกิดมามีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือธรรมและวินัยๆ มันมีอยู่แล้วไง ศึกษาๆ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล

แล้วปัจจุบันนี้ ดูสิ ปฏิบัติแบบฤๅษีชีไพรเวลาบอกว่า “ปฏิบัติสมาธิ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ได้ปฏิบัติสมาธิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติเรื่องอริยสัจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติเพื่อชำระล้างกิเลส”

แต่ในการประพฤติปฏิบัติมันต้องอาศัยจิตของเราเป็นผู้ชำระล้าง อาศัยจิตของเราเป็นผู้ที่การกระทำ ถึงต้องหาจิตของตัวให้ได้ก่อน นี้จิตของตัวบอกว่า จิตของตัวมันก็ไปสร้างจิตขึ้นมาอีกดวงหนึ่ง ท่านถึงบอกให้ทำสมาธิๆๆ เข้าไปสู่ความสงบระงับของตัว ศีล สมาธิ ปัญญาๆ เห็นไหม เราพยายามจะค้นคว้าของเราเพื่อจะเข้าไปสู่ตัวของเรา เพื่อให้ตัวของเรายกขึ้นไปสู่วิปัสสนา ยกขึ้นไปสู่วิปัสสนา นี่คือพุทธศาสนาไง

แล้วพุทธศาสนา ศาสนาพุทธแห่งปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้นมาอย่างไร รับสิ รับสิ เวลาหลวงตาท่านเทศน์ท่านสอนเห็นไหม ขันธ์ ๕! ขันธ์ ๕ มันเป็นเหมือนหินลับมีด ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ดูสิ หินลับมีด มีดถ้ามันใช้งานแล้วมันทื่อ มันใช้งานแล้วคมมันจางไป เขาก็เอามาลับให้มันคมขึ้นมา เห็นไหม เขาต้องลับของเขาขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการใช้สอย

นี่ก็เหมือนกัน จิตของเรา จิตของเรา เราจะลับลับกับอะไรล่ะ มันก็ลับกับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เราต้องเอาสติปัญญาเข้ามาจับต้อง แล้วพยายามแยกแยะของเราไป ถ้าเรายังทำความสงบใจเข้ามาไม่ได้ มันก็เป็นการปฏิบัติเพื่อเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าอบรมสมาธิ อบรมเข้ามาสู่ใจของเราไง ในการประพฤติปฏิบัติทั้งหมดเห็นไหม ถ้าเอาจิตปฏิบัติ จิตปฏิบัติแล้วมันต้องสำรอกมันต้องคายของมันเข้ามา จะปฏิบัติในแนวทางไหนก็แล้วแต่ ผลของมันคือสมถะทั้งหมด

ปัญญาๆ เอามาจากไหน ปัญญาๆ ปัญญากิเลสทั้งนั้น คมของกิเลสมันทำลายเอา ทำลายว่านั่นเป็นปัญญาๆ ก็ถือตัวถือตนว่าสิ่งนั้นเรามีปัญญา แล้วก็ติดดาบ อวดกัน ข่มขี่ข่มกันว่าของใครถูกของใครผิด มันผิดมันถูกมันผิดในหัวใจนั่นน่ะ ทั้งๆ ตัวเองผิดอยู่เต็มหัวใจแต่ไม่รู้ว่าตัวเองผิด อ้างอิงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ลับคมของปัญญาๆ คมของปัญญามันควรจะชำระล้างกิเลส คมของปัญญามันควรจะเป็นความจริง

แต่เวลาเรามาลับของเราก็ลับด้วยกิเลสไง เวลาเกิดขึ้นมาก็เกิดเป็นคมกิเลสไง คมกิเลสมันก็ทำลาย มันทำลายโอกาสของตัวเอง ทำลายโอกาส ทำลายความเห็น แล้วมันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมมาจากไหนมันเป็นกิเลสทั้งนั้น คมของกิเลสมันทำลาย ทำลายตัวเอง เห็นไหม

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” มันเจริญในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นก่อน ศาสนาเจริญใช่ไหม เราก็ไปมองสิ มองว่าวัดวาอารามเขาสร้างวิจิตรพิสดารกันหมด สิ่งนั้นมันเป็นความเจริญ

มันเป็นความเจริญที่ไหน แผ่นดินไหวขึ้นมามันต้องซ่อมบำรุงรักษา จะสวยงามขนาดไหน เกิดแผ่นไหวนี่โอดโอย… ทำไมเอาหัวใจไปไว้ที่วัตถุล่ะ! ทำไมเอาหัวใจเราไปสิ่งก่อสร้างอย่างนั้น! สิ่งก่อสร้างอย่างนั้นมันเป็นวัฒนธรรม ในเมื่อชุมชนใช่ไหม ชุมชนชาวพุทธใช่ไหม ในเมื่อมีความเคารพเลื่อมใสใช่ไหม เขาก็สร้างบุญกุศลของเขาด้วยวัตถุ ดูสิ เวลาเขาทำบุญกุศลเห็นไหม อามิสๆ สิ่งที่เป็นอามิสๆ สิ่งที่เป็นอามิสมันเป็นของวัฒนธรรม มันเป็นของโลกเขาที่เขามีคุณสมบัติทำได้ขนาดนั้น เขาแสดงออกโดยน้ำใจของเขาได้ขนาดนั้น

เราเป็นนักบวช! เราเป็นนักรบ! เราจะต้องมีคุณธรรมในใจ! ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาเนี่ยสิ่งที่เป็นนามธรรมๆ เวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้เลย ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาๆ มันเกิดยังไง มันแยกได้เลย โลกียปัญญาเป็นอย่างนี้ โลกียปัญญาเนี่ยเห็นไหม ดูสิ ข้อวัตรปฏิบัตินี่โลกียปัญญา!

ดูสิ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาว่าเป็นปรมัตถ์ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ สิ่งนั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาเราไปศึกษามา เราไปจำมาเห็นไหม จำมาด้วยโลก เวลาไปจำมานี่โลกียปัญญา ข้อวัตรปฏิบัติเนี่ยเป็นโลกียปัญญา เป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น แต่เวลาทำขึ้นมาแล้วจิตใจผ่องแผ้วไหม จิตใจรื่นเริงไหม จิตใจมีความสุข เห็นคุณงามความดีไหม ไม่เห็น! ทุกข์ทั้งนั้น บังคับๆ นี่

สมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ภิกษุผู้เฒ่าบอกเลยล่ะ ภิกษุที่มีกิเลสอยู่ก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานแล้ว ภิกษุที่มีคุณธรรมในใจเห็นไหม ที่มีคุณธรรมในใจก็ปลงธรรมสังเวช ไอ้พวกที่ร้องไห้คร่ำครวญ ภิกษุผู้เฒ่า “เธอร้องไห้ไปทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ ยุ่งมากเลย ทำอะไรก็ผิด ก็ผิด ก็ผิดทั้งนั้น ทำอะไรก็คอยติคอยเตียนทั้งนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานน่ะดีแล้ว พวกเราได้อยู่สุขสบายกันเสียที” พระกัสสปะได้ยินแล้วสังเวชมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่งปรินิพพานเท่านั้น โมฆบุรุษคิดกันได้ขนาดนั้น ถึงได้ปลงใจว่าจะทำสังคายนาไง สิ่งที่ผู้มีคุณธรรม สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ มันเป็นโลกียะๆ เพราะอะไร เพราะความรู้ ความรู้สึกของเรา ดูผู้เฒ่าสิ ภิกษุผู้เฒ่าชื่นชมเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานเสียทีจะได้ไม่มีคนมาคอยติคอยเตียน นั่นคมกิเลสเห็นไหม มันทำลายตัวเอง ทำลายทุกๆ อย่างเลย

พระกัสสปะ... มันสะเทือนใจ มันสะเทือนใจ เพราะพระกัสสปะก็จะมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถามเขามาเรื่อย

“ได้เห็นศาสดาของเราหรือไม่ ศาสดาของเราอยู่ที่ไหน”

ไปสวนกับชาวบ้านนะ “สมณโคดมเพิ่งตายไปเมื่อคืนนี้”

นี่ไง ดอกไม้ ดอกมณฑารพที่มาจากสวรรค์นี่ไง ในงานมา พระกัสสปะนี่เศร้าใจมาก เพราะเวลาออกพรรษาแล้ว เวลาภิกษุเรานักปฏิบัติเห็นไหม ออกพรรษาแล้วก็จะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัน ด้วยความรื่นเริง ด้วยความเคารพบูชาไง เพราะว่าสิ่งที่ได้มา ดูสิ เวลาหลวงตาของเรา เวลาท่านบรรลุธรรมเห็นไหม ท่านกราบแล้วกราบเล่า ท่านกราบใคร ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังอยู่ หลวงตาก็ไปกราบแล้ว!

แต่นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานมา ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว แต่เวลาท่านบรรลุธรรมขึ้นมานี่ท่านกราบแล้วกราบเล่า มันกราบด้วยความซาบซึ้งนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอย่างนี้หรือ แล้วเรากระเสือกกระสนมานะ ๙ ปี ตั้งแต่ออกปฏิบัติมา ๙ ปี สละชีวิตแล้วสละแล้วสละเล่า อดอาหารแล้วอดอาหารเล่า พยายามต่อสู้กับกิเลส คมของกิเลสมันพลิกแพลงมายังไง ต่อสู้มาตลอด ลับคมของปัญญา ลับคมๆๆ ลับคมถ้าไม่เจอกิเลสก็ลับคมไว้เพื่อเผชิญเจอหน้ากับมัน แต่ถ้าเผชิญเจอหน้ามันก็ต้องประหัตประหารกัน ประหัตประหารกันด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยความเห็นชอบ ด้วยความดีงาม

แต่เวลาทางโลกบอกว่า “โอ้โห! เอากันขนาดนั้นเชียวเหรอ ต้องทุ่มเทขนาดนั้นเหรอ”

เอ็งยังไม่รู้จักกิเลส เอ็งยังไม่เห็นหน้ากิเลสหรอก ดูสิ ดูความหยำเปของโลกเขาสิ เวลากิเลสมันข่มขี่หัวใจของสัตว์โลกมันทำกันขนาดนั้น เวลากิเลสมันใหญ่ในหัวใจของสัตว์โลก มันทำกันขนาดนั้น แล้วเวลาจะต่อสู้กับมัน คนที่มีคุณธรรม คนที่มีสติสัมปชัญญะ เขาต้องทำความสงบของใจของเขาได้ คนที่หยำเปทางโลกเขาทำขนาดนั้นเพราะอะไร เพราะว่ากิเลสมันเต็มตัว กิเลสมันปลอกลอก กิเลสมันข่มขี่เต็มหัวใจ

คนที่มีอำนาจวาสนาเขาต้องมาบังคับใจของเขา เขามาบังคับใจของเขาเพื่อให้ใจของเขาอยู่ในศีลในธรรม เพื่อบังคับใจของเขาให้อยู่ในร่องในรอยเห็นไหม มันต้องบังคับ บังคับด้วยสติด้วยปัญญา แล้วเวลาเกิดสติปัญญาพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เกิดสัมมาสมาธิ ให้เกิดคุณธรรมขึ้นมา เวลาเกิดคุณธรรมขึ้นมาออกวิปัสสนามันจะไปประหัตประหาร นี่ลับคมๆๆ ลับคมให้มันคมกล้าขึ้นมาเพื่อให้ได้ต่อสู้กับมัน เพื่อเป็นประโยชน์กับใจดวงนี้ นี่เวลาทำขึ้นมามีการกระทำอย่างนั้นขึ้นมา เขาถึงเห็นหน้าของมัน เห็นหน้าของกิเลส ถึงว่ากิเลสมันร้ายขนาดไหนไง

ไอ้ของเราอยู่กับมัน แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เอามันออกมานำหน้า แล้วคมของกิเลสมันก็ทำลายโอกาสของเรา แล้วเราปฏิบัติของเรานี่ โอ๋! ตอนนี้กำลังบรรลุธรรมแล้ว โอย! มันซาบซึ้ง โอย! มันลอยฟ่องอยู่บนอากาศเลย โอ้โหย! มันเป็นก้อนเมฆ คมกิเลสทั้งนั้น มันไม่เป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริง ความจริงเราต้องทำของเราขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมาเห็นไหม ลับคมๆๆ ลับคมของปัญญา ให้สติปัญญาเห็นไหม เรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านจ้ำจี้จ้ำไชขนาดไหน ก็ท่านจ้ำจี้จ้ำไชให้เราเข้าสู่ทาง แล้วจ้ำจี้จ้ำไชขึ้นมาแล้วเราทำของเราตามความเป็นจริงตามอย่างนั้น แล้วดูสิว่ามันจะเสียหายตรงไหนไง แต่เวลาเราทำกันเอง มันมีแต่เรื่องกิเลส โมฆบุรุษตายเพราะลาภ อยากมีลาภมีสักการะมีชื่อมีเสียง

ชื่อเสียงเขียนสิ เขียนมากๆ แล้วแขวนไว้ที่ตัวนี่ เวลาลาภสักการะก็จะให้เขาเคารพนบนอบ เวลาเขามาใกล้ขึ้นมา เขาเคารพนบนอบก็ทำเขิน ทำเขิน ทำเอียงทำอายนะ โอ๋ย! ไม่อยากได้ ไม่อยากได้ไปหาเขาทำไม ? พฤติกรรมนี่มันบอก โมฆบุรุษ! โมฆบุรุษตายเพราะลาภ

แต่ถ้าเป็นสัตบุรุษล่ะ สัตบุรุษเห็นไหม เขาต้องมีสติปัญญาของเขา เราจะเอาตัวรอดไง ใครจะช่วยเราได้ ลาภสักการะชื่อเสียงมันจะพาให้พ้นกิเลสได้ไหม ลาภสักการะจะทำให้เรามีความสุขได้ไหม คนเขาเอาลาภเอาชื่อเอาเสียงมาให้ เขารออะไรล่ะ ก็รอผลตอบสนองจากเราไง รอผลตอนตอบสนองสิ

แต่เวลาครูบาอาจารย์สมัยพุทธกาลเห็นไหม ที่ว่านี่เอตทัคคะๆ นั่นเป็นคุณสมบัติ เอตทัคคะ ๘๐ องค์ พระอานนท์ได้มีคุณสมบัติดีงามหลายช่องทาง พระอานนท์ได้เอตทัคคะหลายแนวทาง นั่นน่ะ คิดดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปเทศนาว่าการที่ไหนก็แล้วแต่ถ้าพระอานนท์ไม่ได้ไปด้วย ต้องมาเทศน์ให้พระอานนท์ฟังอีกรอบหนึ่ง เพราะพระอานนท์จะทรงจำไว้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า “เธอทำเพื่ออะไร”

ทำไว้ขนาดว่าอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์ที่ไหน แล้วถ้าคนเขาได้ยินได้ฟัง หรือไม่ได้ยินได้ฟังเขาอยากรู้ เขาจะมาถามพระอานนท์ ถ้าพระอานนท์ตอบไม่ได้จะหาว่า อยู่ใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้ๆ ไม่มีคุณสมบัติ ทำประโยชน์ไม่ได้ เขาจะติเตียนพระอานนท์

นี่เขาขวนขวายขนาดนั้น ขวนขวายเพราะอยู่ใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมีคุณสมบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเรื่องอะไรต้องเข้าใจ แล้วทรงจำสิ่งนี้ไปอธิบายให้กับผู้ที่เขามาถามต่างๆ นี่ท่านทำเพื่อใคร คุณสมบัติอย่างนี้แล้วเราต้องไปทรงจำที่พระพุทธเจ้าไปเทศน์สอนคนนู้นคนนี้ เราต้องทรงจำไว้นี่ เป็นภาระเรานี่ เราจะทำกันไหม

นี่คุณสมบัติของพระอานนท์ สิ่งต่างๆ ถ้าเป็นเอตทัคคะเขามีคุณสมบัติตามความจริงอย่างนั้น แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งตามความจริงอย่างนั้น ไม่ใช่กระเสือกกระสนกันเพื่อเอายศเอาตำแหน่งอย่างนี้ ถ้าเอายศเอาตำแหน่งเอามาทำไม เอายศตำแหน่งเวลาตายไปแล้วพัดยศก็ต้องเอาไปคืนเขา ไม่ได้เอาไปด้วยเลย มันจะเอาไปได้ก็คุณงามความดีเนี่ย ความดีความชั่วมันจะไปกับเรา

แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีคุณธรรมในใจขึ้นมาเห็นไหม อกุปปธรรมๆ ไฟก็เผาไม่ได้ ไฟมันเผาแต่ศพ ตายแล้วไฟมันเผาธาตุ ๔ มันมาเผาหัวใจอันนี้ได้ยังไง แล้วหัวใจนี้มัน อกุปปธรรม อกุปปธรรม อฐานะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คุณสมบัติอันนั้นใครจะมาเชิดชู ใครจะมาทำให้มันยุบยอบลงได้ มันเป็นความจริงของมันเห็นไหม

ลับคมของปัญญานะ เราต้องลับคมของเรา ลับคมใจนี่ หัวใจต้องมีคมมีเหลี่ยมเพื่อจะต่อสู้กับกิเลส อย่าให้กิเลสมันข่มขี่ในหัวใจเรานี่ มันทุกข์มันยาก เวลาคนเขามาปฏิบัติเห็นไหม เขาร้อนไหม อากาศก็เหมือนกันเขาก็ร้อน พระร้อนไหม พระก็ร้อน ทำไมมันจะไม่ร้อน ในเมื่ออุณหภูมิมันก็เหมือนกันทั้งนั้น

แต่คุณสมบัติเห็นไหม เราได้ญัตติจตุตถกรรมขึ้นมาเป็นภิกษุ เป็นพระ เป็นนักรบ นักรบเหรอ ในเมื่อนักรบมันต้องรบกับทุกๆ สิ่ง ถ้ารบทุกๆ สิ่งนะ รบกับสิ่งที่กิเลสมันขัดมันยอกใจ สิ่งใดที่มันขัดเคืองใจ นั่นล่ะต้องรบกับมัน แล้วโลกของเขา เขาจะมาประพฤติปฏิบัติของเขาเหมือนกัน เวลาเขามาจำศีลของเขา เขาก็เจอสภาพนี้เหมือนกัน ทำไมเขารื่นเริง ทำไมเขาขวนขวาย ทำไมเขาถึงแสวงหา

ไอ้ของเรานี่โอกาสอยู่กับเราแท้ๆ เลยล่ะ เราต้องทำสิ งานของเราๆ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่างานของภิกษุเข้าทางจงกรมสมาธิภาวนา เช้าขึ้นมาบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ทำภัตกิจเสร็จแล้ว ได้ทำข้อวัตรในโรงธรรมศาลาแล้ว ผู้ที่เข้าสู่โคนไม้ ผู้ที่ได้ฌานสมาบัติก็เข้าฌานสมาบัติ ผู้ใดที่ยกจิตสู่วิปัสสนาเขาก็จะยกจิตสู่วิปัสสนา เขาจะพยายามขวนขวาย พยายามการกระทำของเขา เพื่ออะไร เพื่อให้จิตดวงนี้มันผ่องแผ้ว เขาลับคมๆๆ เขาลับของเขา พร้อมของเขาจะต่อสู้กับกิเลส กิเลสไว้ใจไม่ได้ กิเลสมันอยู่กับเรา

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีก เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้อีกเลย”

แต่นี้มันไม่ใช่ดำริ มันคิด มันครอบงำ มารเอยๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยมัน “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราอีกไม่ได้เลย” มันเกิดไม่ได้ตั้งแต่สมุจเฉทปหาน ตั้งแต่วันวิสาขบูชา มันเกิดไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฆ่ามันแล้ว ฆ่ามันแล้ว ตายไปแล้ว มันจะมาเกิดยังไง นี่มารในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี มีแต่ในใจของเราไง แต่มารในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เยาะเย้ยมัน

แต่ของเราล่ะ ของเราเห็นไหม ดูสิ เวลามันคิดขึ้นมา มันคิด ดูสิ ผู้ที่ทำสมาธิได้ ทำฌานสมบัติได้ก็พยายามรักษาไว้ ชำนาญในวสี ผู้ที่ใช้ปัญญาแล้วก็ใช้ปัญญาของเราไปเห็นไหม เขาพยายามต่อสู้กับพญามาร ต่อสู้กับครอบครัวของมาร ต่อสู้เพื่อประโยชน์ของเรานี่ ลับคมไว้ ถ้าไม่เจอมันก็ลับไว้เพื่อป้องกัน ลับไว้เพื่อจะต่อสู้กับมัน ถ้าเจอมันๆ เจอมันก็ต้องเข้าประหัตประหารไง การเข้าประหารมัน สมุจเฉทปหานไง

การประหารของมันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงความเป็นอยู่ในสังคมนะ อย่าให้รังแกกัน อย่าให้กระทบกระเทือนกัน อย่าถากอย่าถางกัน มนุษย์เกิดมาก็มีขวานมาคนละเล่มก็คือปาก ขวานก็เที่ยวถากเที่ยวถางคนนู้นเที่ยวถากเที่ยวถางคนนี้ ทำไมไม่ถากไม่ถางกิเลสของตัวเห็นไหม พยายามไม่ให้เบียดเบียนกัน ไม่ทำให้กระทบกระเทือนกัน

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเห็นไหม “การฆ่ากิเลส” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ การตัดป่าทั้งป่า แต่ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว เพราะกิเลสมันเป็นนามธรรม ตัดป่าทั้งป่าเลย เราถางป่าทั้งป่าเลย แต่ไม่ได้แตะถึงต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสเพราะกิเลสเป็นนามธรรม

นี่ก็เหมือนกัน การประหัตประหาร ประหารกิเลสมันไม่ทำให้คนอื่นกระทบกระเทือนเลย มันไม่ได้ไปแตะต้องใบไม้แม้แต่ใบเดียวเลย แต่มันฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสแล้วมันฆ่ายังไง มันฆ่าที่ไหน ถ้าเราไม่ลบคมปัญญาเรา เราจะมีอะไรไปสู้กับมัน เราต้องมีปัญญาสู้กับมันสิ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันสู้ไม่ได้ เราก็ทำความสงบของใจเข้ามา

การเกิดมาเป็นมนุษย์นะ ดูสิเวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เขาต้องบากบั่น ต้องทำมาหากิน ต้องต่างๆ เห็นไหม หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เขาก็มีความทุกข์ความยาก เขาก็มีความวิตกกังวลเห็นไหม โลกนี้เราบอกบ้านนู้นก็มีกิน บ้านนี้ก็มีกิน จะทุกข์ที่ไหน เขากู้นอกระบบทั้งนั้น เวลาไม่มีกินขึ้นมาใครจะงอมืองอเท้า เวลาไปกู้นอกระบบมาเอามากินแล้วต้องหามาชดใช้เขา ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ทั้งนั้น

เรารู้ถึงความทุกข์เขาไหม รู้ถึงความทุกข์ของสังคมไหม สังคมเขาทุกข์กันอยู่นี่ เขาทุกข์อะไร เขาทุกข์เพราะประจำธาตุขันธ์ของเขา ไอ้เราบวชมาแล้วเราก็ทุกข์ยาก ทุกข์ยากเพราะเราจะเอาจิตของเราให้พ้นจากกิเลสไง เวลาทุกข์ยากขึ้นมามันเป็นงานนามธรรมทั้งนั้น เราลับคมปัญญาสิ ให้มีสติให้มีปัญญา อย่าไปยอมจำนนกับมัน เราไม่ยอมจำนนกับมันนะ ไม่ยอมจำนนกับกิเลสนะ เราจะสู้กับมันนะ สู้กับมัน สู้กับมัน

ดูสิ คนคนหนึ่งจะมีคุณค่าขึ้นมาตรงไหน คนคนหนึ่งจะมีคุณค่าขึ้นมาก็เพราะสติปัญญาของเขา เพราะคุณสมบัติของเขา เราบวชมาเป็นพระ เวลาบวชเป็นพระเขานี่ดูถูกเขาไปทั่ว ฉันพระปฏิบัตินะ ฉันพระป่านะ ไอ้นั่นมันพระบ้าน ไม่เคร่งไม่เข้มข้นเหมือนเรา แล้วพระป่าทำอะไรกัน พระป่าทำอะไรกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ทำภัตกิจเสร็จแล้วเข้าอยู่โคนไม้ เข้าสู่เรือนว่าง ผู้ที่เข้าได้ฌานก็เข้าฌานสมาบัติ ผู้ที่ได้วิปัสสนาก็ยกจิตสู่วิปัสสนา นี่งานของเราเห็นไหม วัดบ้านเวลาเขาฉันของเขาแล้ว เขาทำภัตกิจของเขาแล้วเขาเข้าห้องเรียน เขาก็เรียนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเราเราฉันแล้วเห็นไหม เราเข้าสู่โคนไม้สู่เรือนว่าง เพื่อวิปัสสนา เพื่อปฏิบัติในใจของเรา เขาเรียนทฤษฎีเรียนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะประพฤติปฏิบัติในใจของเราให้มีคุณธรรมเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะค้นคว้าหาศีล สมาธิ ปัญญา ในใจของเรา นี่พระป่าต้องเป็นอย่างนี้

ไม่ใช่ว่าฉันเป็นพระป่านะ ติดยี่ห้อไว้นะ โอ้โหย! ฉันเข้มงวดเข้มแข็ง แล้วไม่ทำอะไรเลย ไม่ดูแลหัวใจของตัว แล้วตรงไหนเป็นพระป่า ตรงไหนมันเป็น มันเป็นตรงไหนพระป่า มันเป็นตรงไหน พระป่ามันเป็นมันก็เป็นที่คุณสมบัติสิ มันเป็นที่มรรคที่ผลนี่สิ มันเป็นที่ธรรมจักรสิ ในเมื่อหัวใจมีคุณธรรม มันมีสัจธรรม มันมีธรรมจักร จักรมันจะเคลื่อน เพราะอะไร เพราะมีการควบคุมรักษา มีการดูแลรักษาเห็นไหม ลับคมของปัญญาให้มันงอกงามขึ้นมาสิ มันถึงจะเป็นพระป่า พระป่าจริงไง

พระป่าในสมัยพุทธกาลนะ ไม่มีสันถัต ในนิคสัคคีย์ปาจิตตีย์เดี๋ยวจะสวดอยู่นี่ การหล่อสันถัตมีพรมนั่งไง ไปไหนจะมีไปนี่พระบ้าน พระป่าไม่มีสันถัต แล้วพระป่าเห็นไหม ภิกษุห้ามเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครไปเข้าเฝ้าเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่พระป่า เพราะพระป่าเวลาปฏิบัติแล้วมันมีประเด็นในหัวใจ จะเข้าได้เลย

พระโสณะมาจากพระกัจจายนะ เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อยู่ในวิหารเดียวกันแล้วให้สังคายนา ก็ถามปัญหานี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระโสณะว่า พระโสณะปฏิบัติยังไง ทำยังไง บรรลุธรรมยังไง แต่ละขั้นตอนเป็นยังไง พระโสณะอธิบายให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “สาธุ สาธุ”

นี่พระป่าเขาเป็นกันอย่างนี้ พระป่าเขาไม่ใช่มาอวดว่าฉันเป็นพระป่า พระป่า พระป่าเขามีคุณธรรม เขาปฏิบัติของเขา เขามีคุณสมบัติของเขา เขาเป็นจริงของเขา

เราลับคมปัญญาของเรา ทำความจริงของเราขึ้นมา เนี่ยทำขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม นี่ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อให้หัวใจมันรื่นเริง ทำให้หัวใจมันเฟื่องฟู ทำให้หัวใจมันคมกล้า ทำให้หัวใจมันเข้มแข็ง ไม่ใช่เหงาหงอย เศร้าสร้อย คอตก นั่นพระอะไร พระอย่างนั้นพระป่วย มันไม่ใช่พระป่า พระป่วย พระเจ็บไข้ได้ป่วย

ถ้าพระป่าเห็นไหม นี่ฟังธรรมๆ เพื่อรื่นเริง เพื่ออาจหาญ หัวใจที่มันมีกำลังใจเห็นไหม เพชรมันเคี้ยวได้ ทางจงกรมเหรอ เรือนว่างเหรอ อยู่ที่ไหน บอกฉันมา อยากไปๆ อยากจะปฏิบัติ อยากจะมีคุณธรรม อยากจะมีสัจธรรม อยากจะมีคุณธรรมในใจนี้

พระป่ามันต้องเป็นอย่างนี้! ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มีคุณธรรมในหัวใจเราขึ้นมา เพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง